นิเคอิดาวโจนส์ ดัชนีหุ้นในสหรัฐอเมริกานั้นมีหลากหลายระบบที่วัดความเคลื่อนไหวประจำวันป็นระบบที่สร้างโดยบริษัทดาวโจนส์ ร่วมกับชาลส์ ดาว(Charles Dow) เพื่อชี้วัดถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของบริษัทฯ เพื่อดึงดูดและสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนดัชนีความเชื่อมั่นในการลงทุน ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และองค์ประกอบทางด้านจิตวิทยาทางการลงทุนว่าช่วงเวลานั้นนักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นในบทความนี้จะมาแนะนำตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศที่นักลงทุนควรทำความรู้จัก  เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจลงทุน

ปัจจัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ และส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย

การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หรือประธานาธิบดีของประเทศมหาอำนาจ จะมีผลต่อนโยบายต่าง ๆ ของประเทศ

  1. การปฏิวัติ รัฐประหาร ส่งผลถึงเสถียรภาพ ภาวะเศรษฐกิจ และนโยบายต่าง ๆ ของประเทศ
  2. สภาวะเศรษฐกิจของต่างประเทศ ส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจของโลก ซึ่งรวมไปถึงตัวเลขอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน และอัตราผลผลิต เพราะประเทศไทยมีการค้าขายกับนานาประเทศ หากประเทศผู้ค้าของเรามีปัญหาทางเศรษฐกิจ ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างไม่ต้องสงสัย
  3. ปัญหาที่เกี่ยวกับสถาบันการเงิน เช่น กลุ่มยุโรป ต้องการเม็ดเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องและแก้หนี้
  4. สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะประเทศจีน หากไม่สามารถเจรจาหาข้อสรุปได้ จะส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจชะงักงันและชะลอตัวได้
  5. การเคลื่อนไหวของเงินทุน หรือ Fund Flow โดยตลาดหุ้นที่มีราคาแพงจะถูกขายทำกำไร เพื่อนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นที่มีราคาต่ำ เพื่อก่อให้เกิดกำไรสูงสุด ซึ่งการเคลื่อนไหวของเงินทุนจะเป็นไปด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความผันผวนในการลงทุนที่สูงขึ้น

ดังนั้นในการวิเคราะห์การลงทุนในปัจจุบัน การวิเคราะห์แต่เพียงภาวะเศรษฐกิจในประเทศ อาจไม่เพียงพออีกต่อไป นักลงทุนจำเป็นต้องวิเคราะห์ถึงภาพรวมของเศรษฐกิจโลก รวมไปถึงประเทศมหาอำนาจ และประเทศที่เป็นคู่ค้าของประเทศไทยว่า ภาวะเศรษฐกิจของประเทศต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นเช่นไร ผ่านการดูดัชนีหุ้นต่างประเทศว่ามีแนวโน้มขึ้นลงเป็นอย่างไรด้วย เพราะดัชนีหุ้นต่างประเทศ 

การลงทุนในดัชนีดาวโจนส์

ดัชนีดาวโจนส์ คือ ดัชนีสะท้อนภาพรวมของความเคลื่อนไหวในเศรษฐกิจและความมั่งคั่งของสหรัฐอเมริกาที่มีความสำคัญอย่างมากตลอดระยะเวลากว่า 125 ปี นักลงทุนสามารถลงทุนโดยยึดดัชนีดาวโจนส์เป็นหลักได้ เพราะบริษัทต่าง ๆ กับดัชนีฯ อยู่คู่กันมาอย่างยาวนาน อาทิ Coca-Cola ตั้งแต่ปี 1987, Procter & Gamble ตั้งแต่ปี 1932, และ 3M ตั้งแต่ปี 1976 เป็นต้น การลงทุนซื้อหุ้นในพอร์ตหุ้นตามดัชนีดาวโจนส์เป็นสิ่งที่น่าสนใจ คุ้มค่าในการลงทุน และเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว หากนักลงทุนมีเงินลงทุนสูง ในทางตรงกันข้ามหากนักลงทุนเน้นการทำกำไรระยะสั้น และมีงบในการลงทุนจำกัด อาจจะต้องมองหาการลงทุนรูปแบบอื่น

ประเภทของการลงทุนตามดัชนีดาวโจนส์มีอะไรบ้าง

หุ้น

เมื่อนักลงทุนมีพอร์ตหุ้นเป็นของตัวเองแล้ว นักลงทุนสามารถเข้าซื้อหุ้นต่าง ๆ ตามที่ปรากฏอยู่ในดัชนีฯ วิธีนี้ก็เป็นอีกนึงวิธีที่นักลงทุนที่มีเงินทุนหนา ต้องการสร้างพอร์ตหุ้นอย่างมั่นคง สำหรับนักลงทุนรายเล็กที่มีงบประมาณจำกัด อาจจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด

กองทุนรวม

สำหรับนักลงทุนรายเล็กที่มีงบประมาณจำกัด การเริ่มซื้อกองทุนรวมเป็นวิธีที่ใช้เงินไม่สูงนัก หลักการของกองทุนรวมก็คือ นักลงทุนลงเงินเข้าตนเองไปในกองทุนร่วมกับนักลงทุนอื่น ๆ จากนั้นผู้จัดการกองทุนก็จะนำเงินนี้ไปลงทุนต่อ

กองทุนรวมดัชนี(ETF)

หลักการเดียวกันกับกองทุน นักลงทุนสามารถลงทุนหุ้นในดัชนีฯได้ในคราเดียวกัน ในกองทุนรวม SPDR Dow Jones Industrial Average ETF(DIA) จะลงทุนในหุ้นอ้างอิงตามดัชนีดาวโจนส์ กองทุนรวมดัชนีจะรวบรวมสินทรัพย์ตั้งแต่ ตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ จนถึงหุ้นและสินทรัพย์โภคภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงสูง นักลงทุนสามารถเลือกกระจายความเสี่ยงในพอร์ตหุ้นตามความเหมาะสมได้

วิธีการลงทุนตามดัชนีดาวโจนส์

  1. ขั้นตอนแรก นักลงทุนควรพิจารณาความสามารถและเงินทุนในการลงทุนเสียก่อน เพื่อพิจารณาว่าควรจะสร้างพอร์ตหุ้นอย่างไร ซื้อหุ้น, ซื้อกองทุนรวม หรือกองทุน ETF ตามที่ได้อธิบายไปแล้วในข้อ 5.1 อย่างไรก็ตามการลงทุนในหุ้น Blue Ship ควรลงทุนในระยะยาวมากกว่าระยะสั้น
  2. ขั้นตอนที่สอง สำหรับผู้ที่มีภูมิลำเนาในสหรัฐอเมริกา นักลงทุนสามารถเข้าซื้อหุ้นโดยตรงกับบริษัทที่สนใจจะเข้าซื้อหุ้น สำหรับผู้ที่อยู่ต่างประเทศ เช่น ประเทศไทย นักลงทุนสามารถซื้อหุ้น, กองทุนรวม และกองทุน ETF ผ่านโบรกเกอร์ชั้นนำที่ให้บริการในการซื้อหุ้นต่างประเทศ และควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมขั้นต่ำ และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมประกอบการตัดสินใจ
  3. ขั้นตอนที่สาม นักลงทุนควรศึกษาวิธีการเทรดเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด เช่น หุ้น ผู้ถือหุ้นสามารถซื้อขายได้หลายรายการตลอดวัน ณ เวลาเปิดทำการของตลาดหุ้นในนิวยอร์ก, กองทุนรวม นักลงทุนสามารถเทรดได้หนึ่งครั้งต่อวัน หลังจากที่ตลาดหุ้นฯได้ทำการปิดตัวแล้วเท่านั้น และกองทุน ETF นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ตลอดวันเหมือนการซื้อขายหุ้น